Skip to content

การพึ่งตนเองโดยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ตามแนวทางในหลวง ร.9

การพึ่งตนเองโดยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ตามแนวทางในหลวง ร.9 : บังเอิญ ทองมอญ

1)การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ไม่ใช้สารเคมีและยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ให้พืชผักแมลงเกื้อกูลกันเอง เกิดการขยายพันธุ์พืชโดยแมลง มีความสมดุลของระบบนิเวศ อากาศดี มีแหล่งอาหารไร้สารพิษ พืชสมุนไพร

2) นำพืชผักที่ปลูกเองมากินเป็นอาหาร ตามสูตรครัวหมอเขียว และประยุกต์ใช้กับพืชผักที่หาได้ในสวน ปรุงรสน้อยที่สุด พร้อมกับการถือศีลอย่างเคร่งครัด วางใจ ไม่เร่งผล รู้เพียรรู้พัก เอื้อเฟื้อแบ่งปันผู้อื่น ทำให้เบากาย สบาย มีกำลัง หายจากโรค มีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง

3) การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องหลบลี้หนึผู้คนไปปลีกวิเวกเพียงลำพัง แต่คือการใช้ชีวิตอยู่กับผู้ตนในสังคมอย่างไม่กลัว ไม่กลัวความทุกข์ กล้ารับความทุกข์ ยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะเราทำมา ทำให้จิตใจผ่องใส เบิกบาน ร่างกายไม่ต้องเสียพลังในการขับพิษออกจากร่างกาย จะทำให้มีกำลังไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

กาญจนบุรี


จุดเริ่มต้นของการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ เมื่อประมาณปี 54 ทำงานอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บ้านเดิมอยู่กาญจนบุรี กลับบ้านเดือนละ 1 ครั้ง เพราะอยู่ห่างไกลมาก เดินทางโดยรถส่วนตัวทีนึงก็ประมา 3 ชั่วโมงครึ่ง

วันหนึ่งได้เวลา ตรวจสุขภาพประจำปี พบมีก้อนที่เต้านม พยาบาลแนะนำให้ไปตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์เฉพาะทาง ได้ไปตรวจ mammogram พบว่ามีก้อนซีสต์ขนาดเล็กๆ 1-2 ซม.เต็มไปหมด หลักร้อยก้อน

สอบถามสาเหตุจากหมอว่าเกิดจากอะไร หมอก็บอกว่าไม่ทราบ หมอไม่ได้ให้การรักษาใดๆ เพียงแต่นัดมาติดตามทุก 6 เดือน ก็ดำรงชีวิตตามปกติ อีก 6 เดือน ต่อมาก็ยังพบก้อนอยู่เช่นเดิม ไม่ลดลง

จึงทบทวนตัวเองว่าทำอะไรลงไปบ้าง ตั้งสมมุติฐานให้ตัวเองว่า อาจเกิดจากการซื้อผักในตลาดมาทำอาหารกินเอง หรือซื้ออาหารปรุงสำเร็จจากตลาดมาประมาณ 7 ปีแล้ว ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ชลบุรี
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ชลบุรี

จึงคิดว่าน่าจะผักมีสารเคมี ทำให้เกิดก้อนที่เต้านม จึงเปลี่ยนใหม่ เลือกซื้อเฉพาะผักที่ฉีดยาฆ่าแมลงน้อย หรือไม่ฉีดเลย โดยเลือกเป็นผักพื้นบ้าน เช่น กระถิน ดอกแค ยอดแค หัวปลี ตำลึง แทนคะน้า แตงกวา หอมใหญ่ มะเขือเทศ กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว มะเขือ และคิดในเรื่องการปลูกผักกินเอง หากระถาง หาดินมาปลูก เพราะพักอยู่ในแฟลตข้าราชการ ไม่มีที่ดินปลูก เลือกเป็นกะเพราในตลาดที่ขายเป็นกำ เด็ดใบไว้ใช้ กิ่งเอาไว้ปัก ขยายมาเป็นสะระแหน่ อ่อมแซ่บ ออกไม่ทันกิน

วันหนึ่งคิดถึงที่ดินที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่คุณแม่แบ่งให้เกือบ 1 ไร่ ยังไม่ได้ปลูกอะไรเป็นเรื่องเป็นราว คุณแม่จึงใช้ปลูกข้าวโพดไปก่อน ได้ไปขอคุณแม่ว่าอยากปลูกผักไว้กิน ปีแรกคุณแม่ก็ยังไม่ให้ บอกลูกอยู่ไกล จะมาดูแลยังไง บอกคุณแม่ว่าจะทำที่ต่อท่อสปริงเกอร์ให้คุณแม่ช่วยเปิดมอเตอร์ปั่นน้ำรดให้หน่อย แล้วแต่คุณแม่สะดวก อาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้งก็ได้ ปีแรกแม่ยังไม่ตกลง ปีต่อมา ก็ยังไม่ตกลง ปีที่ 3 เห็นว่าลูกตื๊อ จึงตอบตกลง

จุดเริ่มต้นในการปลูก มาจากเย็นวันที่ 4 ธันวาคม 2556 ได้เดินทางกลับบ้านจากชลบุรีไปกาญจนบุรี เนื่องจากวันที่ 5 เป็นวันหยุด เดินทางออกจากชลบุรีก็เป็นเวลาเย็นแล้วหลังเลิกงาน กว่าจะถึงบ้าน ทางผ่านมีงานเกษตรกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนจัดงานเป็นประจำทุกปี วันที่ 1-10 ธันวาคม ได้แวะซื้อต้นไม้ ประมาณ 10 กว่าต้น เป็นไม้ผลก่อน มีมะม่วง ขนุน ฯลฯ เท่าที่พอมีเงินซื้อ และในวันที่ 5 ธันวาม 2556 ได้ขอให้คุณแม่มาช่วยปลูกต้นขนุนเป็นต้นแรก เหมือนเป็นผู้เปิดงาน เป็นศิริมงคลให้กับลูก จากนั้นก็ปลูกชะอม มะม่วง และเพิ่มมาเรื่อยๆ เวลาเงินเดือนออกก็จะแบ่งไว้ซื้อต้นไม้ปลูกสะสมไปเรื่อยๆ กินดอก พืชสมุนไพร พืชผักสวนครัว ดอกไม้ต่างๆ ปลูกผสมกันไป เน้นพืชผักยืนต้น ที่ไม่ต้องปลูกบ่อยๆ เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปดูแล ไม่ใช่ยาฆ่าหญ้า ใช้วิธีตัดด้วยเครื่องตัดหญ้า ใช้ปุ๋ยขี้ค้างคาวในการปลูกครั้งแรก นอกนั้นก็ใช้ใบไม้กิ่งไม้ทับถมให้เป็นปุ๋ยไปเอง ปลูกดอกไม้พวกบานชื่น ดาวเรือง ดาวกระจายล่อแมลงให้มากิน จะได้ไม่ต้องไปกินพืชผักที่เราปลูก ช่วยได้มาก โดยเฉพาะถั่วฝักยาว ฝักสวย ไม่มีแมลงมายุ่งเลย

พอปลูกได้ 2 ปี ก็ได้ย้ายจากชลบุรี มาทำงานที่ กทม. เดินทางกลับบ้านใกล้ขึ้น แค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง และได้ซื้อที่แปลงข้างๆ อีก 1 ไร่ครึ่ง เป็นของญาติมาบอกขาย จึงตัดสินใจซื้อ และได้สะสมต้นไม้ปลูกเรื่อยมาทั้งพืชกินใบ กินหัว มีครบถ้วน ยกเว้นข้าว หอม กระเทียม ยังต้องซื้อ แต่ก็ช่วยลดรายจ่ายไปได้มาก และก้อนที่เต้านมหายไปหมด จนหมอเลิกนัด ไม่ต้องไปพบหมอแล้ว ตอนนี้พัฒนาขึ้นโดยมีการทำน้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ย นำพืชผักสมุนไพร มะกรูดมะนาว มาทำน้ำยาล้างจาน แชมพู สบู่ ทำยาสีฟันใช้เองช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก

สภาวธรรม

การรู้เพียรรู้พัก ยังบกพร่อง เนื่องจากบริหารเวลาไม่เป็น มีแต่เวลาทำงาน ไม่มีเวลาพัก เวลากลับบ้านที่กาญจนบุรีก็ตะหอบงานไปทำด้วย เมื่องานหนึ่งเสร็จ ก็ทำงานอย่างอื่นๆ ต่อๆไป ไม่มีจบสิ้น จนร่างกายทรุดโทรม เกิดโรคหลายโรค กลายเป็นคนขี้โรค กลางคืนทำงานจนดึกตี 3 ตี 4 เช้าไปทำงานไม่ไหว ลาป่วย ระหว่างที่ลาป่วย นึกขึ้นได้ว่างานนี้ยังต้องทำต่อ ไม่ได้พักผ่อน จึงไม่หายจากโรค เป็นทั้งรูมาตอยด์ ซึมเศร้าหลังจากคุณแม่เสียชีวิตกระทันหัน ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน โทษตัวเองที่ทำแต่งาน ไม่ดูแลตัวเอง เมื่อได้มาพบเฟสบุ้กอาจารย์หมอเขียว แพทย์วิถีธรรม ได้ปฏิบัติ 3 ข้อ ในยาเม็ด 9 เม็ด คือ รู้เพียรรู้พัก สมดุลร้อนเย็น และเจริญศีล วางใจ ไม่อยาก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะเราทำมา และกลับมาตอบสนองทั้งสิ้น ฝึกวางใจให้เป็นว่า เพราะเราทำมา รับให้หมด รับเร็วก็หมดเร็ว ไม่เร่งผล งดเนื้อสัตว์ทันที ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2564 ใช้พืชผักในสวนมาทำอาหารกินเอง ปีงรสเพียงเกลือสมุทร ดอกเกลือ น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย หุงข้าวผสมธัญพืช มีข้าวซ้อมมือ ถั่วเขียว ถั่วขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ถั่วลูกไก่ (ถั่วต่างๆ ซื้อมาจากร้านขายอาหารสมุนไพร ร้านโป๊ะผัก ใกล้ที่ทำงาน) ต้มน้ำสมุนไพร หมุนเวียนกันไป น้ำรางจืด อัญชัน ว่านกาบหอย ใบมะกรูด ใช้สูตรอาหารจากครัวหมอเขียว morkeaw.net มีเมนูหลากหลายให้เลือก ตามพืชผักที่หาได้ในสวน เมนูแรกคือ ส้มตำมะละกอ เป็นครั้งแรกที่ตำส้มตำใส่เกลือ ไม่คิดว่าจะรสชาติอร่อย นำไปให้พี่สาวชิม พี่สาวชอบให้ตำมาอีกเยอะๆ และนำวิธีการทำแกงส้มโดยนำเห็ดต่างๆมาต้ม และโขลกเป็นน้ำแกง รสชาติดี ได้ดัดแปลงเป็นห่อหมกหัวปลีใส่เห็ดโขลก พริกแกงตำเอง มีข่าตะไคร้ผิวมะกรูด พริกแห้งที่ปลูกเอง หอมกระเทียม ดอกเกลือ นำมาปั่นรวมกัน รสชาติดี จนพ่อบ้านบอกว่าลืมพริกแกงตลาดไปเลย
กินอาหารตามลำดับ คือ น้ำสมุนไพร ข้าว กับข้าว น้ำแกงจืด หรือต้มจืด ผลไม้

ก่อนใช้หลักการแพทย์วิถีธรรม ตั้งใจเลิกกินยาที่ต้องกินวันละเป็นกำมือ มีทั้งยาก่อนอาหาร หลังอาหาร ก่อนนอน วุ่นวายไปหมด วันๆเสียเวลาไปกับการจดจำว่าถึงเวลากินยาแล้ว ได้ใช้สมุนไพรในตัวมาทำเป็นนาโน เพียง 3 วัน หายหมดทุกโรค ตัวเบาหวิว เวลาเดินแทบไม่รู้สึกว่าเท้าติดพื้น ต้องคอยกำหนดก้าวเดิน ว่าซ้ายหนอ ขวาหนอ จึงรู้ถึงการเหยียบบนพื้น
จึงรู้ถึงการเหยียบบนพื้น

แม้ไม่กินยารูมาตอยด์ก็ไม่ปวดข้อเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ แค่หยุดกินยาวันเดียวก็ปวดข้อจนทนไม่ไหว ต้องรีบไปกินยา กลายเป็นทาสยามาหลายปี สูญเสียพลังชีวิตไปมาก สามวันดีสีวันไข้

นอกจากนี้ยังได้แบ่งปันกิ่งพันธุ์ ต้นพันธุ์ ให้กับพี่สาวซึ่งอยู่บ้านใกล้กันที่กาญจนบุรี พี่สาวเห็นปลูกแล้วงอกงามเติบโตดี เลยอยากปลูกบ้าง และปลูกมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ มีการแบ่งปันเพื่อนบ้าน เวลามีกล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก กล่วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง ออกมากๆ กินไม่หมด ก็นำไปแจกเพื่อนบ้าน หรือต้นพันธุ์กล้วยหักมุก เพื่อนบ้านขอซื้อ เราไม่ขาย ให้ฟรี ทุกวันนี้หายป่วยจากทุกโรค สุขกายสุขใจ นอนหลับสบาย รู้ซึ้งถึงคำว่า เบากาย มีกำลัง ก็คราวนี้เอง จากที่เมื่อก่อน อาจารย์หมอเขียวบอกว่าจะรู้สึกเบากาย มีกำลัง ก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เคยมีแต่ความรู้สึกปวดท้ายทอยเป็นประจำ ตื่นเช้ามาปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ง่วงนอน ไม่อยากไปทำงาน กราบขอบพระคุณอาจารย์หมอเขียวที่ได้ถอดความในพระไตรปิฎกออกมาถ่ายทอดเป็นภาษาที่เข้สใจง่าย ทำตามได้ง่าย เห็นผลทันตา เรามีแต่ชนะกับเสมอกับโรค ถ้าเราหาย เราก็ชนะ ถ้าเราตายโรคก็ตาย ถือว่าเสมอกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *