สรุปสภาวธรรม การบำเพ็ญฐานงานสื่อ เนื่องในโอกาสฉลองเข้าสู่ปีที่ ๔ : สวนป่านาบุญ ๙
การนัดหมายรวมตัวของจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมภาคกลาง และผู้เคยร่วมเข้าค่ายในครั้งนี้ ทีมงานฐานสื่อรวมพลังทำงานและได้สรุปสภาวธรรมทั้งกายใจด้วยใจเบิกบาน
รอบการประชุมอปริหานิยธรรมในวันที่ 14 มีนาคม 2564
1. พรทิพย์ อิ่มทุ่งน้อย (ก้อย ใจร่มเย็น)
บทบาทในฐานสื่อ
หน้าที่ถ่ายภาพ อัดคลิปวีดีโอ รวมถึงสัมภาษณ์จิตอาสา และผู้ร่วมกิจกรรมภายในสวนป่านาบุญ 9
เรื่องคันหัวใจ และอุปสรรคในการทำงาน
เวลาที่ถ่ายภาพ และอยากให้ภาพออกมาตามที่ต้องการ แต่กลายเป็นว่า ได้ภาพที่ไม่ค่อยถูกใจ เพราะเราก็อยากจะได้ภาพที่สวยงามกว่านี้ หรือได้มุมที่เราต้องการ เนื่องจากว่าพี่น้องจิตอาสาจะมีการทำกิจกรรมซึ่งต้องทำเป็นไปตามขั้นตอน บางครั้งเราจึงไม่สามารถถ่ายทุกมุมได้ทัน ในส่วนของสภาวธรรมอื่นๆในการทำงาน ก็จะมีในเรื่อง “สายตา” เพราะในการทำงานต้องใช้สายตาเพ่งมาก ๆ ก็จะรู้สึกตาแข็ง และปวดตา แต่อาการไมได้หนักมาก ก็ยังพอทำงานและรู้เพียรรู้พักได้ค่ะ
การวางใจ และวิธีแก้ปัญหา
ในช่วงแรก ๆ ของการเริ่มทำงานฐานสื่อ ตอนที่ได้เพิ่งหัดฝึกถ่ายภาพและทำคลิปวีดีโอ จะมีความตั้งใจมากจนเกินไป จนมีความรู้สึกว่า “หัวใจมันเต้นแรง” เพราะว่าอยากให้งานออกมาดี จึงทำให้เสียพลังไปมากกับความตั้งใจ ภายหลังได้มาลองเปลี่ยนวิธีการใหม่ ด้วยการที่เราก็ยังตั้งใจทำ แต่ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า งานจะออกมาดีมากน้อยแค่ไหน พอพิจารณาเมื่อก่อนที่เรายึดมั่นถือมั่นว่า “งานต้องออกมาดีเท่านั้น เป็นเพราะกลัวมาก ว่าจะมีคำตำหนิ” แต่พอวางใจและได้ผ่านความกลัวและพ้นความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้มาได้แล้ว ก็ทำให้สามารถทำงานได้มีความสบายใจมากขึ้น “เหมือนยกภูเขาออกจากอก” งานจะออกมาดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แต่เพียงเราก็ยังต้องตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และเมื่อเปลี่ยนความคิดได้ว่า “การโดนตำหนิ” เป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนเป็นการบอกกล่าวกัน ซึ่งทำให้เราได้แก้ไข ตอนนี้จึงสามารถทำงานได้ราบรื่นและดีมากขึ้น
เรื่องประทับใจในการทำงาน
ประทับใจในรอยยิ้มของจิตอาสาทุกท่านที่ได้มาพบเจอกัน และทำกิจกรรมร่วมกัน ในช่วงเวลาที่พวกเราได้พูดคุยกัน ได้มีพลังหมู่ในการทำงานร่วมกัน เช่น ขั้นตอนที่ได้ส่งคลิปให้เพื่อนร่วมงานเพื่อนำมาตัดต่อ และก็จะมีการพูดคุยกันว่า หน้าแรกของงานจะเลือกแบบไหนดี ? เลือกเพลงไหนกันดีนะ ? จะให้มีการแก้ไขตรงไหนหรือไม่ ? ก็รู้สึกประทับใจในความสามัคคีของพลังหมู่ ที่มาร่วมพูดคุยและช่วยกันทำ โดยต่างคนต่างไม่เอาอะไรจากกัน ซึ่งเป็นมวลพลังงานที่ดี โดยไม่ถึงคำนึงว่างานจะออกมาดีหรือสวยที่สุด เพียงแค่มีภาพรวมในองค์ประกอบของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เท่านี้ก็มีความหมายและเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการได้มาทำงานร่วมกันค่ะ
2. ศิรินภา คำวงษ์ศรี (จิ๊บ เพียรสุขศีล)
บทบาทในฐานสื่อ
หน้าที่ถ่ายภาพ อัดและตัดต่อคลิปวีดีโอบางส่วน รวมถึงสัมภาษณ์จิตอาสา และผู้ร่วมกิจกรรมภายในสวนป่านาบุญ 9
เรื่องคันหัวใจ และอุปสรรคในการทำงาน
รู้สึกหัวใจคันมากค่ะ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบและไม่ถนัดงานสื่อใดๆ เลย เนื่องจากในอดีตนั้น ยังให้ความสำคัญกับงานสื่อมากพอ ส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่ใช่ปัจจัย 4 ถึงไม่มีงานสื่อ เราก็ยังอยู่ได้ จึงไปให้ความสำคัญงานเกษตร หรือฐานครัว ฯลฯ มากกว่า แต่พอหลังจากได้เข้ามาร่วมศึกษางานสื่อแล้ว จึงเห็นความสำคัญมากขึ้น เพราะสื่อทำให้สร้างแรงเหนี่ยวนำที่ดีให้กับผู้ชมทางบ้านซึ่งได้รับชม และสามารถเรียนรู้ตามไปด้วย
สิ่งที่คันหัวใจมาก คือ งานตัดต่อ เนื่องจากไม่มีความรู้และไม่ถนัดเลย จึงต้องพยายามเรียนรู้ และเคยมีปมในเรื่องการถ่ายภาพ เพราะเพื่อนเคยบอกว่า เราถ่ายรูปไม่ดีและเบลอ ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่เก่งในงานด้านนี้ แต่ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปและจะพยายามบำเพ็ญในส่วนที่ขาดทั้งในฐานงานสื่อและทุกฐานงาน
อุปสรรคอื่น ๆ คือ งานสื่อเป็นเรื่องของการตกแต่ง เพื่อให้มีความสวยงาม ดูดี เรียบร้อย จึงทำให้มีความจุกจิกในการทำงาน ในหลายครั้งพี่น้องแต่ละท่านก็จะมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่มีผิดหรือถูก และแต่ละท่านก็จะมาบอกเราในแบบที่แต่ละท่านนั้นต้องการ จึงทำให้ตัดสินใจไม่ได้
การวางใจ และวิธีแก้ปัญหา
แก้ปัญหาด้วยการนำปัญหาที่เกิดขึ้นเข้าหารือ เพื่อขอ “มติหมู่” จึงทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจในการทำงานมากขึ้น ว่าควรเป็นไปในทิศทางไหน และเมื่อได้มีการปรึกษาหมู่ในวง “อปริหานิยธรรม” ซึ่งเป็นพลังงานแห่งพุทธะ ถึงงานจะออกมาดีหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่ทุกข์ใจของเราก็คลาย และใจของเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องประทับใจในการทำงาน
ประทับใจในเรื่องอาหารการกินที่พี่น้องทุกท่านนำมาร่วมแบ่งปันกันในค่าย ซึ่งมีแต่ “การอดยาก ไม่มีการอดอยาก” รวมถึงการร่วมทำงานกสิกรรมที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก็รู้สึกดีมากค่ะ
3. ศิริพร คำวงษ์ศรี (หมู มั่นผ่องพุทธ)
บทบาทในฐานสื่อ
รวบรวมและประมวลภาพในแต่ละวัน และตัดต่อคลิปวีดีโอ
เรื่องคันหัวใจ และอุปสรรคในการทำงาน
จริง ๆ ได้ทำงานฐานสื่อมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งในครั้งนี้ก็ยังเห็นกิเลสตัวที่ชอบเร่งรีบตนเอง และยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องทำงานให้เสร็จทันในวันถัดไป เพื่อที่จะได้สามารถนำส่งต่อให้พี่น้องดูได้ทันเหตุการณ์ แต่ยิ่งรู้สึกว่า “อยากจะรีบแค่ไหน ก็จะทำให้ยิ่งช้า ยิ่งโดนชะลอ” ยิ่งทำให้มีวิบากที่ทำให้ไม่เกิดความสมบูรณ์ เช่น ต้องรอไฟล์และข้อมูลจากพี่น้องซึ่งไม่อยู่ในขณะนั้น หรือบางครั้งคอมพิวเตอร์ก็จะค้าง จึงมีภาวะที่เดี๋ยวก็ต้องยึด เดี๋ยวก็ต้องวางตลอดเวลา
เมื่อระลึกย้อนกลับไปช่วงที่เพิ่งเข้ามาทำงานฐานสื่อ และเราเป็นเด็กใหม่ในการเรียนรู้ฐานงานนี้ ก็จะมีความยึดมั่นถือมั่นมาก จะมีความกลัวผิดกลัวพลาดมาก ๆ แต่ในครั้งนี้ก็ยังเห็นมีจิตที่มีความกลัวอยู่ แต่ลดลงแล้ว เมื่อเทียบกับในช่วงแรก ๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ยังไม่ถึงกับสบาย เพราะยังมีอาการหายใจไม่ทัน มีภาวะอึดอัดแน่นหน้าอก และบีบหัวใจ เพราะเราไปให้ความสำคัญกับงานจนมากเกินไป
การวางใจ และวิธีแก้ปัญหา
ถ้าเราเป็นสื่อที่ดี เราก็ควรที่จะต้องส่งสภาวธรรมทางใจในการทำงานสื่อ ด้วยใจที่เบาสบายผาสุก มิใช่สภาวธรรมที่เร่งรีบ ซึ่งคนทั่วไปก็เป็นกันมากมายอยู่แล้ว เราจึงไม่อยากเป็นแรงเหนี่ยวนำในเรื่องนี้ จึงต้องพยายามตั้งสติใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งการทำงานในครั้งนี้ ก็ขอยอมรับตามตรงว่า ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในการทำงานอยู่ แต่ก็ยังมีผาสุกมากกว่าในครั้งก่อน มีคันในเรื่องอื่น ๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่ทุกข์มากมายค่ะ
เรื่องประทับใจในการทำงาน
ประทับใจในการทำงานของพี่ก้อย เพราะพี่ก้อยจะพยายามผ่อนคลายตนเองช่วงเวลาการทำงานในห้องสื่อ จึงทำให้ทำงานแล้วรู้สึกออกมาไม่เครียด พี่ก้อยจึงเป็นตัวอย่างที่ดี ในการที่ไม่ต้องทำงานแบบเคร่งเครียด หรือต้องตั้งใจและยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป ก็จะพยายามพากเพียรนำตัวอย่างที่ดีจากพี่ก้อยมาใช้ในการทำงานต่อไป
เมื่อก่อนสวนป่านาบุญ 9 จะเน้นในด้านการงานทางวัตถุ แต่ตอนนี้พี่น้องจิตอาสาก็น่ารักมาก ๆ ที่ได้มาเริ่มเน้นด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายของอาจารย์ที่ว่า “ทำงานเพื่อบรรลุธรรม ไม่ใช่บรรลุงาน” และพี่น้องได้ดึงเรื่องที่มีความแคลงใจและขัดแย้งกัน มาเปิดเผยวางไว้ตรงกลาง ว่าเราเข้าใจผิดกันในเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพอได้ฟังความคิดเห็นของแต่ละท่านแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นพลังมวลที่ดีมากของ “การอปริหานิยธรรม” เพราะไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีสิ่งที่ราบรื่นและเข้าใจกันไปตลอด ซึ่งคนทางโลกจะใช้วัตถุมาคุยกัน เช่น เราอาจจะมีความกลัวกังวลที่จะพูดคุยจากใจจริง ๆ เพราะเรายังได้เงินจากนายจ้าง หรือจากลูกค้าอยู่ ซึ่งไม่ใช่ความผาสุกที่แท้จริงเลย
การอปริหานิยธรรม ทำให้สิ่งที่เราเคยมีกิเลสและค้างคาใจในตัวจิตอาสาบางท่าน พอได้รับฟังความคิดเห็นจากแต่ละท่านเพิ่มเติม จึงทำให้กิเลสนั้นคลายและหลุดออกไปได้เลย และยิ่งมีการอปริหานิยธรรมกันในทุกวัน จึงทำให้เรายิ่งมีความคุ้นเคยกับพี่น้องมากขึ้น ครั้งนี้จึงมีแต่ความเบิกบานผาสุก นี่แหละ คือ การทำงานที่มีความสบายใจสบายกาย ไม่ใช่การทำงานแบบเคร่งเครียดเร่งรีบ ซึ่งเป็นการทำงานที่ผิดทางและไม่ถูกต้องตามธรรม ครั้งนี้จึงได้เก็บความรู้สึกและพลังงานดี ๆ กลับบ้านมาด้วย ต้องขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ให้โอกาสมาร่วมงานในครั้งนี้ค่ะ