Skip to content

มรณสติ : พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

มรณสติ : พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน – จางคลาย) ภาคใต้


บทสรุปชีวิต

ชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้าเหมือนอยู่ในความฝัน ตั้งแต่เกิดมาในปี พ.ศ. 2515 จนมีอายุ 44 ปี ซึ่งเป็นปีที่แม่ของข้าพเจ้าเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ข้าพเจ้าจึงเลือกเอาวันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้าระลึกถึงความตาย บันทึกไว้เป็นมรณสติของตนเอง

ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ามีชีวิตเหมือนคนละเมอหลับใหล ไร้เป้าหมาย ไม่รู้ว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร สมัยเป็นเด็กพอเริ่มรู้ความก็เริ่มมีความคิดในการแสวงหา ข้าพเจ้าเป็นเด็กไม่ช่างพูดแต่ช่างคิด และเริ่มคิดถึงปัญหาใหญ่ ๆ ของชีวิตตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญา วรรณกรรม ศาสนา เป็นต้น ข้าพเจ้าได้แสวงหาความหมายของการมีชีวิตมาเรื่อย ๆ ตามประสาเด็กช่างคิด จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. 2539 หรือ 2540 จำไม่ได้แล้ว การเดินทางภายในความคิดของข้าพเจ้ามาหยุดอยู่ที่ข้อสรุปอันหนึ่งว่า เราเกิดมาไม่ได้มีเป้าหมายอะไร เพียงแต่เกิดมาดูโลกระยะเวลาหนึ่งแล้วตายจากโลกไปเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร เราเป็นเพียงผู้มาสังเกตการณ์ความเป็นไปของโลกในช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 60-80 ปี แล้วตายไปอย่างไร้ความหมาย แล้วมันก็จบแค่นั้น ไม่มีอะไรอยู่หลังความตาย

ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าทำตัวประหนึ่งว่าเราเป็นเพียงผู้เฝ้าดูความเป็นไปของโลกเท่านั้น ไม่ค่อยจะเดือดร้อนวุ่นวายไปกับโลกเขาสักเท่าไร ไม่ค่อยสนใจจะหาคำตอบหรือเป้าหมายของชีวิตเหมือนเดิมแล้ว ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ รอบตัว จะบอกว่าข้าพเจ้าเลิกแสวงหาความหมายของการมีชีวิตมาตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้

ชีวิตแบบนักสังเกตการณ์ของข้าพเจ้าได้ดำเนินมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้าสู่วัยทำงาน หลังจากเข้าทำงานปีแรกที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ปีต่อมาก็สมัครไปทำงานอยู่ที่ประเทศจีนเป็นเวลา 5 ปี กลับมาทำงานในไทยอีก 1 ปีก็ลาออก แต่งงาน และย้ายมาอยู่จังหวัดภูเก็ตในปี พ.ศ. 2547 ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่ารู้สึกเบื่อหน่ายและอึดอัดกับสภาพชีวิตในกรุงเทพฯ มาก ข้าพเจ้าเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ตั้งแต่มาอยู่ภูเก็ต และมีชีวิตเพลิดเพลินไปกับสายลม แสงแดดของภูมิภาคอันดามันไปเรื่อยเปื่อย การงานไม่ได้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร แค่พอเอาชีวิตรอดได้เท่านั้น ข้าพเจ้ามีชีวิตที่เรียบง่าย สบาย ๆ พออยู่พอกิน เที่ยวเล่นบ้างตามประสาคนมีคู่แต่ไม่มีลูก จนถึงปี พ.ศ. 2558 จึงได้ข่าวจากทางบ้านว่ามารดาตรวจพบก้อนมะเร็งที่เต้านม นั่นคือจุดเริ่มต้นของการหักเหครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า

ความเจ็บป่วยของแม่ในครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้พาแม่ไปเข้าค่ายสุขภาพฯ ที่สวนป่านาบุญ 3 และได้พบอาจารย์หมอเขียวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2558 ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจธรรมะของพระพุทธเจ้า และติดตามฟังธรรมจากอาจารย์หมอเขียวทางอินเตอร์เน็ตมาโดยตลอด จนกระทั่งได้ปวารณาตัวเป็นจิตอาสา (ผู้บำเพ็ญคบคุ้น) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ที่สวนป่านาบุญ 2 จ. นครศรีธรรมราช และได้ร่วมบำเพ็ญงานจิตอาสาในกิจกรรมต่าง ๆ ของมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมมาจนถึงปัจจุบัน

เป้าหมายหรือความคาดหวังในชีวิต

จากเดิมที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเลยกับชีวิต คิดแค่ว่าจะอยู่ดูโลกไปเรื่อย ๆ จนตายไปในช่วงอายุไม่เกิน 70 ปี รู้สึกไม่อยากอยู่นานเกินไป พอแก่ชราหมดสมรรถภาพแล้วก็ควรรีบตายเสียดีกว่าอยู่อย่างหดหู่กับสภาพร่างกายที่มันทรุดโทรม แต่เมื่อมาได้พบอาจารย์หมอเขียว พบพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ พบธรรมะที่เป็นโลกุตระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เหมือนคนที่ตื่นจากการละเมอหลับใหล มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตอย่างเต็มตา รวมทั้งเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย อันได้แก่การเข้าถึงสภาพที่ผาสุก ผ่องใส ไร้ทุกข์ ไร้กังวล ไร้ความสะดุ้งสะเทือนหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ใด ๆ และอยู่ช่วยงานสืบทอดศาสนาของครูบาอาจารย์ต่อไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่สรีระร่างกายจะเป็นไปได้ ถ้าพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ตั้งเป้าหมายว่าจะอยู่ทำงานต่อไปจนอายุ 120 ปี ข้าพเจ้าก็ขอตั้งตามว่าจะอยู่ช่วยงานศาสนาไปจนถึงอายุ 82 ปีเป็นอย่างน้อย

สิ่งที่ต้องรับผิดชอบในปัจจุบันที่ยังกังวล เป็นห่วง หนักใจอยู่

ถึงวันนี้ข้าพเจ้าไม่มีอะไรต้องหนักใจอีกแล้ว แม้จะยังมีบุคคลที่ต้องรับผิดชอบอยู่คือ แม่บ้านที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าหากข้าพเจ้าต้องมีอันเป็นไปหรือจากไปก่อน เธอจะยังคงอยู่ต่อไปได้ และพัฒนาจิตวิญญาณร่วมกับหมู่มิตรดีในองค์กรแพทย์วิถีธรรมให้เจริญขึ้นไปตามลำดับได้ นอกจากนี้ก็ยังมีบิดาที่อยู่บ้านที่นนทบุรี ซึ่งอายุมากแล้วและกำลังชราภาพลงไปเรื่อย ๆ จนวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ข้าพเจ้าเองก็ต้องกลับไปดูแลท่านในช่วงบั้นปลายของชีวิต ตามหน้าที่ที่ควรทำของผู้เป็นบุตร ส่วนน้องสาวกับน้องชายต่างก็ดูแลตัวเองได้หมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

ฝากถึงคนข้างหลัง

โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้นที่เรากำหนดได้ และวิธีที่จะกำหนดใจให้ไร้ทุกข์ ไร้กังวล ไร้ความสะดุ้งสะเทือนหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น ก็คือการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น หากท่านมีโอกาสได้พบสัตบุรุษ พบครูบาอาจารย์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พบธรรมะที่เป็นของแท้จากพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้ท่านได้ปฏิบัติจนมีความเจริญในธรรมยิ่งขึ้น ๆ ไปตามลำดับจนถึงความผาสุกอย่างยั่งยืนในที่สุด


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *