หมู่มิตรดีคือกระจกสะท้อนตน : พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
การมีหมู่มิตรดีก็เหมือนมีกระจกบานใหญ่ที่จะคอยช่วยสะท้อนให้เห็นความไม่ดีของตัวเอง และหมู่มิตรดีนี่เองก็จะช่วยขัดเกลาความไม่ดีในใจให้สะอาดยิ่งขึ้น ที่มารวมอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ก็เพราะจะมาลดอัตตานี่ล่ะนะ แล้วทำไมไม่ยอมลดล่ะ ต้องลดสิถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
การที่ตัวผู้เขียนได้เจอท่านอาจารย์หมอเขียวและแพทย์วิถีธรรม ถือว่าเป็นกุศลผลบุญที่ผู้เขียนได้กระทำมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ และชาตินี้มาส่งผลร่วมกัน สิ่งที่ได้รับเมื่อได้มาพบแพทย์วิถีธรรมไม่เพียงแต่ทำให้จิตวิญญาณของเราพัฒนาสูงขึ้น แต่ยังทำให้ได้พบหมู่มิตรดีที่มีอุดมการณ์ในการที่จะดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันเหมือนกับว่ารู้จักกันมานาน สามารถคุยกันได้แทบทุกเรื่อง มิหนำซ้ำยังมีความเข้าใจกัน รู้ใจ (กิเลส) ได้ดีกว่าพี่น้องทางสายเลือดด้วยซ้ำ ด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนไม่เคว้งคว้าง มีจุดหมายในชีวิตที่ชัดเจนและที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมีชีวิตที่ผาสุก เรียบง่าย มีความทุกข์น้อยลงค่ะ
การมีหมู่มิตรดีก็เหมือนมีกระจกบานใหญ่ที่จะคอยช่วยสะท้อนให้เห็นความไม่ดีของตัวเอง และหมู่มิตรดีนี่เองก็จะช่วยขัดเกลาความไม่ดีในใจให้สะอาดยิ่งขึ้น ในการทำงานก็เช่นเดียวกันถ้าทำงานคนเดียว งานก็จะเสร็จช้า หรือถึงแม้จะเสร็จเร็วแต่ก็อาจจะมีข้อผิดพลาดมากกว่าการทำงานหลายคน โดยส่วนตัวแล้วชอบทำงานงานคนเดียวมากกว่า เพราะนิสัยจะค่อนข้างไม่ชอบความวุ่นวายกับใคร ชอบที่จะทำงานเงียบ ๆ คือทำงานแบบฤาษี งานจะเสร็จเร็วหรือเสร็จช้าก็สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเองไม่ต้องไปขึ้นกับการตัดสินใจของใคร ถือว่าตัวเองรับผิดชอบงานของตัวเองได้
จากการที่เคยทำงานคนเดียวมา พอได้มาร่วมทำงานกับพี่น้องที่ต้องทำงานเป็นกลุ่ม ก็รู้สึกว่าสนุกสนานไปอีกแบบ เพราะว่าตัวผู้เขียนเองจะได้ฝึกลดอัตตาตัวตน ของตัวเองไปด้วย ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเพราะอยู่กับหมู่ต้องเคารพมติหมู่ อัตตาที่มีเอาวางไว้ที่หน้าบ้าน ฮ่า ฮ่า ครั้งแรกที่มีการประชุมหมู่กลุ่มตัวผู้เขียนก็เสนอความคิดของตัวเองและใส่อัตตาเต็มที่ แต่พอหมู่กลุ่มไม่เห็นด้วย ณ เวลานั้นก็รู้สึกทุกข์ใจมาก จนอยากจะออกจากกลุ่ม แต่พอสติมา ปัญญาก็เกิด และได้บอกกับมารว่า ที่มารวมอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ก็เพราะจะมาลดอัตตานี่ล่ะนะ แล้วทำไมไม่ยอมลดล่ะ ต้องลดสิถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ พอคุยกับมารรู้เรื่องแล้วใจก็เบาลง จากความโกรธ ความไม่พอใจที่แสดงออกทางร่างกายคือ ใจเต้นเร็ว และมือเปียกชุ่ม ก็ค่อย ๆ หายเป็นปกติ จนในที่สุดทุกข์ที่มีก็หายไป และอยู่ทำงานร่วมบำเพ็ญกับหมู่กลุ่มได้จนมาถึงปัจจุบันนี้ล่ะค่ะ
การที่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์หมอเขียวทำให้ได้เรียนรู้กับพี่น้องหลายกลุ่ม ยิ่งในขณะนี้มีโรคโควิดระบาด ทำให้ได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารมากขึ้น จึงทำให้ได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่มกับพี่น้องหลากหลายมากยิ่งขึ้น งานกลุ่มไม่เพียงแต่จะทำให้พี่น้องในกลุ่มมีความรักใคร่กลมเกลียว เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันแล้ว การเคารพและให้เกียรติกันก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้อย่างอื่น เพราะถ้าไม่เคารพและไม่ศรัทธาพี่น้องแล้ว อัตตาตัวตน และกิเลสมารที่ซ่อนอยู่ในใจก็จะไม่ลดลงได้เลย หากพี่น้องช่วยกันขัดเกลากิเลสของเรานั้นแสดงว่าพี่น้องรัก และเอาภาระที่จะช่วยให้เรามีความเจริญในทางจิตวิญญาณสูงยิ่งขึ้นไป
ดังนั้นการทำงานกันเป็นกลุ่มและการได้อยู่กับหมู่มิตรดี สำหรับตัวผู้เขียนเองถือว่าดี วิเศษที่สุด ไม่สามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้เลยค่ะ
สาธุ