อาหารปั่นรักษาโรค อาหารปั่นเพื่อสุขภาพ อาหารปั่นพลังพลังพุทธ : ปิ่น คำเพียงเพชร
ตอนนี้กระแส อาหารปั่นรักษาโรค อาหารปั่นเพื่อสุขภาพ หรืออาหารปั่นพลังพุทธ ฯ ของสูตรอาจารย์หมอเขียว แพทย์วิถีธรรม กำลังมาแรงเลยจริง ๆ เราลูกศิษย์ก็ไม่ปล่อยผ่าน ต้องทดลองและพิสูจน์ดูให้รู้ด้วยตนเอง ว่าดีจริงหรือไม่ ดีแค่ไหนอย่างไร
ฤทธิ์ร้อนผสมฤทธิ์เย็น
ใช้เวลาในการทำโดยประมาณ 10-15 นาที
ตอนนี้กระแส อาหารปั่นสุขภาพ อาหารปั่นพลังพุทธ หรืออาหารปั่นปราบมาร หรืออาหารปั่นเด็ดหัวกิเลส ฯ ของสูตรอาจารย์หมอเขียว แพทย์วิถีธรรม กำลังมาแรงเลยจริง ๆ เราลูกศิษย์ก็ไม่ปล่อยผ่าน ต้องทดลองและพิสูจน์ดูให้รู้ด้วยตนเอง ว่าดีจริงหรือไม่ ดีแค่ไหนอย่างไร
ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า เวลาก่อนที่อาจารย์หมอเขียวท่านจะนำพาจิตอาสาฝึกทำอะไรสักอย่าง ท่านจะซุ่มศึกษา ทดลอง และฝึกทำสิ่งนั้น ๆ ก่อน พิสูจน์ด้วยตัวท่านเองจนเห็นผลชัดก่อนว่า เมื่อปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ แล้ว มันเกิดผลดีผลเสียอย่างไร เมื่อท่านได้ทดลองและพิสูจน์ด้วยตัวเองชัดแล้วว่าเกิดผลดีจริง ท่านจึงจะนำมาบอกจิตอาสาให้ได้ลองฝึกปฏิบัติตามกันดูอีกที
ซึ่งอาหารปั่นรักษาโรค อาหารปันเพื่อสุขภาพ อาหารปั่นพลังพุทธ นี่ก็เช่นกัน และที่ไปที่มาของการเกิดเป็นเมนูอาหารปั่นรักษาโรค อาหารปั่นเพื่อสุขภาพนี้ขึ้นมาก็คือเกิดจาก เมื่อช่วงก่อนหน้า 2 เดือนที่ผ่านมา ที่ภูพาฟ้าน้ำมีองค์ประกอบของการงานหนักและอากาศค่อนข้างหนาว ทั้งท่านและจิตอาสาต่างก็ทำงานหนักและพักที่รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ท่านจึงอนุโลมให้พี่น้องรับประทานอาหารนอกมื้อเพื่อเสริมพลังและท่านเองก็เช่นกัน (จากปกติท่านจะรับประทานอาหารมื้อเดียวเป็นหลัก ยกเว้นช่วงที่ทำงานมากไป ไม่มีเวลามากพอที่จะรับประทานอย่างเต็มที่ จึงรับประไม่พอ หรือป่วย เป็นต้น ท่านถึงจะมีรับประทานเพิ่มบ้างเป็นบางคราวเท่านั้น และจิตอาสาสวนใหญ่ก็จะรับประทานอาหารมื้อเดียวเป็นหลักเช่นกัน)
จากการรับประทานอาหารมากกว่าหนึ่งมื้อส่งผลทำให้ท่านมีอาการปวดเหงือก ท่านจึงได้ให้แม่ครัวทำอาหารแบบปั่นให้ลองรับประทานดู ซึ่งผลก็ปรากฏว่า ทำให้อาการปวดเหงือก เหงือกอักเสบของท่านดีขึ้นตามลำดับ และท่านก็พบว่า แม้จะเป็นอาหารปั่นและรับประทานเพียงมื้อเดียว พลังก็ยังเต็ม สามารถอยู่ได้ทั้งวัน แถมเบาเนื้อเบาตัวและประหยัดเวลาในการรับประทานอีกด้วย และที่สำคัญ ท่านเจตนาจะให้จิตอาสาเองได้ฝึกลดละล้างกิเลสในความติดยึดในรูปอาหาร คือฝึกล้างกามใน รูป รส กลิ่น สัมผัส นั่นเอง
อาหารปั่นรักษาโรค
เมื่อพูดถึงอาหารปั่นรักษาโรค ก็จะนึกถึงตอนที่ ได้ไปดูแล ย่าที่โรงพยาบาลตอนท่านป่วย แล้วก็จะเห็นภาพคนป่วยมากมายที่ใส่สายยางระโยงระยางนอนอยู่บนเตียงที่ไม่สามารถรับประทานอาหารแบบเคี้ยวได้ ต้องให้อาหารผ่านสายยาง ซึ่งทางคุณหมอก็จะมีจัดอาหารที่เป็นแบบปั่น แล้วให้พยาบาลนำอาหารปั่นนั้นมาให้ผู้ป่วยอีกที อย่างเป็นเรื่องปกติ แต่มันก็จะต่างกันตรงที่อาหารปั่นของทางโรงพยาบาล ก็จะมีส่วนผสมต่าง ๆ มากมาย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือยาวิตามิน นม ฯ อะไรต่าง ๆ ที่ท่านเห็นว่าดี ก็ว่ากันไป ซึ่งคุณค่าทางอาหารก็ยังคงมีเหมือนเดิม จากอาหารที่คนทั่วไปรับประทาน เพียงแต่เปลี่ยนจากรูปที่เป็นอาหารแบบคำ ๆ มาเป็นแบบเหลวเท่านั้น ซึ่งผลก็เป็นไปตามที่เกิดขึ้นจริงกับผู้ป่วยแต่ละท่าน อันนี้ก็ไม่ขอกล่าวถึง ดังนั้นอาหารปั่นรักษาโรคนี้จึงไม่ใช่สิ่งใหม่
สำหรับสูตร อาหารปั่นรักษาโรค สูตรแพทย์วิถีธรรมนี้ ก็จะไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ จะใช้พืชผัก ผลไม้ ธัญพืชที่มาจากธรรมชาติ 100 % จะใช้เกลือเพียงเล็กน้อยในการปรุงเป็นหลัก
และเวลาไปบำเพ็ญตามค่ายสุขภาพต่าง ๆ ก็มักจะได้ยินอยู่เสมอในกลุ่มจิตอาสา ทั้งที่ท่านที่เป็นพยาบาลหรือบุคคลทั่วไปก็จะมีประสบการณ์ในการใช้อาหารปั่นมาดูแลผู้ป่วยหรือคนรอบข้างหรือให้คำแนะนำคนทั่วไปที่เจ็บป่วยใช้อาหารปั่นดูแลตัวเองเสมอ ๆ แม้แต่ตัวดิฉันเองก็เช่นกัน ก็เคยใช้อาหารปั่นนี้ดูแลคนในครอบครัว ด้วยเช่นกัน เช่นผู้สูงอายุหรือพ่อบ้านเวลาที่เขาเจ็บป่วย ก็จะทำสูตรนี้ให้ท่านรับประทาน ซึ่งผลก็ออกมาดี สามารถทำให้ผู้ป่วยมีกำลังและฟื้นตัวได้เร็วดีมาก โดยเฉพาะทำให้ท่านสามารถขับถ่ายได้ดีได้คล่องขึ้นจึงทำให้ท่านสบายขึ้นมาก
อาหารปั่นเพื่อสุขภาพ
สำหรับตัวเองคิดว่า รับประทานเพื่อสุขภาพและเพื่อลดกิเลสความติดยึดในรูปอาหารมากกว่า เพราะว่ายังไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บป่วยหนัก ๆ จนต้องใช้อาหารปั่นฟื้นฟูร่างกายจริง ๆ จัง ๆ เสียทีเดียว แต่ปกติก็จะทำน้ำผักปั่นดื่มเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ในส่วนของข้าวและธัญพืช จะมีใส่บ้างบางคราวเท่านั้น แล้วก็ยังไม่เคยรับประทานแบบเป็นอาหารหลักและมื้อเดียวโดยไม่รับประทานอาหารอย่างอื่นเลยมาก่อน ซึ่งครั้งนี้อาจารย์หมอเขียวท่านพาฝึก ก็ไม่ลังเลที่จะฝึกตาม เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่าผลมันจะออกมาอย่างไร
ซึ่งตอนที่ฟังอาจารย์หมอเขียวท่านพูดว่า รับประทานอาหารปั่นมื้อเดียว ทำให้อาการไม่สบายต่าง ๆ ฟื้นตัวเร็วและสบายมีกำลังเบาเนื้อเบาตัวดีมากด้วย ตอนนั้นคิดว่าสำหรับเรา มื้อเดียวไม่น่ารอด ไม่น่าจะสามารถอยู่ได้ถึงวัน และไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้ วันหนึ่งจะต้องมาฝึกรับประทานอาหารแบบปั่นแทนอาหารปกติที่รับประทานกัน เพราะคิดว่าการฝึกรับประทานอาหารสูตรสุขภาพแบบอาจารย์หมอเขียวได้อย่างยินดีนี่ก็ถือว่ามันคือที่สุดของอาหารเป็นยาแล้วนะ ไม่น่าจะมีอาหารอะไรที่จะดีเท่าสูตรสมดุลร้อนเย็นแบบไม่ปรุงหรือปรุงแค่เกลือเล็กน้อยเป็นหลักนี้แล้ว มันคือสุดยอดของอาหารเป็นยาแล้ว
จนมาได้ทดลองเอง ผ่านมาเป็นเวลา 4 วันแล้ว ก็ปรากฏว่า สามารถทำให้เรามีแรงอยู่ได้ทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องรับประทานอะไรเสริมเลย รู้สึกเบาท้องอิ่มนาน เบาเนื้อเบาตัวมีกำลังดีกว่าปกติด้วย โดยที่ร่างกายไม่รู้สึกโหยเลย อาการเหงือกอักเสบจากการเคี้ยวอาหารแข็งแล้วไปบี้โดนเหงือกจนอักเสบก็ลดลงภายใน 4 วัน
วัตถุดิบฤทธิ์เย็น-สด
- มันแกว 1/3
- ถั่วงอกเพาะเอง 1 กำมือ
- ส้มซันควิก 1 ลูก
- น้ำเต้าอ่อน
- แอปเปิลแดง 1/2 ลูก
- แอปเปิลเขียว 1/2 ลูก
- เกลือหรือดอกเกลือ ปลายช้อนชา
- ถั่วขาวต้ม 1/2 ถ้วย
- ข้าวกล้องเหลืองหุงธัญพืช 3 สี ได้แก่ถั่วขาว – ถั่วเขียว (ฤทธิ์เย็น) ถั่วแดง (ฤทธิ์ร้อน) 1 ถ้วย
วัตถุดิบฤทธิ์ร้อน
- ฟักทองแก่ 1/2 ซีก
- งาขาวคั่ว 1/2 ช้อนชา
- น้ำต้มฟักทอง 1 ถ้วย
วิธีทำอาหารปั่น
- นำทุกอย่างปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน รินใส่แก้วหรือตักใส่ชามแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งสีส้มตามและโรยด้วยงาขาวเสิร์ฟแบบอุ่น ๆ รสดีจากธรรมชาติ 100 % (ปกติเครื่องปั่นกำลังแรงสูงหากไม่เติมน้ำเย็นหรือน้ำแข็งด้วย เวลาปั่นค้างไว้นานติดต่อกันเป็นนาทีสองนาที ก็จะทำให้อุณหภูมิของน้ำปั่นหรืออาหารที่เราปั่นอุ่นขึ้นอยู่แล้ว แต่หากเป็นเครื่องปั่นทั่วไป อาจจะเติมน้ำอุ่นขณะปั่นด้วยหรืออาจไม่ต้องเติมก็ได้)
วิธีทำท็อปปิ้งแต่งหน้า
- สีส้ม
- เนื้อฟักทองต้ม 2 ช้อนโต๊ะ
- ส้มซันควิก 1/2 ลูก
- นำไปปั่นให้ให้ละเอียดโดยไม่ต้องเติมน้ำ จากนั้นตักราดบนหน้าก่อนโรยด้วยงาขาว
สภาวธรรม
อาหารปั่นเพื่อสุขภาพสูตรแพทย์วิถีธรรม สำหรับตัวเอง นอกจากทำให้ได้สุขภาพทางด้านร่างกายแล้ว สิ่งที่ได้จากการได้ฝึกทานอาหารปั่นเพื่อสุขภาพ คือในส่วนของด้านจิตใจ มันคืออาหารปั่นพลังพุทธ อาหารปั่นปราบมารด้วย ก็คือมันยังทำให้ได้ฝึกลดละล้างกิเลสตัวติดยึดในรูป รส กลิ่น สัมผัสของอาหาร วันนี้หากอาจารย์หมอเขียวท่านไม่พาทำพาปฏิบัติ จะไม่รู้เลยว่าตัวเองยังมีความติดยึด มีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในรูปของอาหารอยู่มากมาย จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกลดละล้างความติดยึดนี้ไปตามลำดับต่อไปเท่าที่อินทรีย์พละจะไหว
แรก ๆ ที่อาจารย์หมอเขียวท่านพูดถึง ประโยชน์ของอาหารปั่น ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ทานมื้อเดียวก็อยู่ได้สบาย อิ่มนาน กำลังเต็ม หายโรค ฯ ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังไม่คิดจะลองทำตาม เพราะคิดว่าไม่น่าจะรอด เนื่องจาก จำสภาวะเวลาทานข้าวต้มสุขภาพ หรืออาหารที่เป็นพวกแปรรูปประเภทแป้ง ๆ หรือก๋วยเตี๋ยว ที่ไม่ได้เป็นในรูปของข้าวเป็นเม็ดทีไร ก็ไม่เคยอยู่รอดได้ตลอดวัน คือไม่เคยที่จะทานมื้อเดียวผ่านได้สำเร็จสักครั้งเลย ต้องเติมมื้อเย็นตลอด
ฟังอาจารย์พูดมาเข้าวัน 2-3 ท่านก็พูดว่าให้ฝึกไว้ เพราะวันหนึ่งเราอาจจะไม่มีอาหารแบบที่เคยกินให้กินก็ได้ กลียุคใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ เกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีอาหารแบบเดิมที่เราเคยกินให้กิน เราก็จะสามารถอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ อีกอย่างให้นึกถึงเวลาที่ เกิดวันใดวันหนึ่งเราต้องอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคี้ยวกลืนอาหารได้ ต้องกินอาหารแบบเหลว ๆ หรือเจ็บป่วยอยู่ในขีดที่ต้องให้อาหารผ่านสายยาง อย่างคนป่วยในโรงพยาบาลขึ้นมา เราจะได้ไม่ทุกข์ใจ พอได้ฟังท่านพูดแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า เอ้อเราเองก็ควรจะฝึกทำไว้เช่นกัน
และท่านก็พูดต่ออีกว่า ที่สำญอีกอย่างก็คือ จะได้อ่านเวทนา อ่านอาการทางใจ ว่าเวลาไม่ได้กินอาหารแบบที่เคยกิน จะมีกิเลสตัวติดยึดในรูป รส กลิ่น สัมผัสของอาหาร หรือไม่ ถ้ามีก็จะได้ฝึกละฝึกล้าง ซึ่งพอฟังถึงตรงนี้เท่านนั้นแหละ ก็ไม่ลังเลเลยที่เริ่มลองฝึกตาม
และในวันแรกที่เริ่มทำ เพราะขณะฟังอาจารย์ไป เราก็กำลังเตรียมทำผักปั่นและอาหารอยู่แล้ว จึงเอาข้าวและถั่วใส่ลงปั่นไปด้วยแล้วทานดู ก็ปรากฏว่ารสชาติก็ออกมาดีก็เหมือนน้ำผักปั่นที่เราทานเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในวันแรกก็ยังทานคู่กับ กับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานอยู่ด้วย
แต่ก็คิดว่า ยังไม่สามารถกินแบบนี้ทุกวันได้ ขอเป็นสลับไปมาก่อน อาทิตย์หนึ่งน่าจะทำได้ไม่เกิน 2-3 วัน แต่ถึงอย่างไรก็จะพยายามฝึกทำไปเรื่อย ๆ (ซึ่งพอไปเล่าให้พี่น้องหมู่มิตรดีฟัง พี่น้องก็สนับสนุนให้ลองดูสัก 1 สัปดาห์ แล้วเขียนรายงานสภาวธรรมและสภาวะของร่างกายของแต่ละวันด้วย ว่าจะมีอาการเวทนาทางกายทางใจอย่างไร ก็เลยกะว่าจะทำต่อ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ติดต่อกันกี่วัน)
ทีนี้พอตอนที่คิดว่าจะลองฝึกทานดูบ้างเท่านั้นแหละ รูปอาหาร ที่เป็นเมนูเป็นกับข้าวเป็นจาน ข้าวเป็นเม็ดที่เสิร์ฟมาในจานมันก็ลอยขึ้นมาในหัวเต็มไปหมดเลย ถึงได้รู้ว่าอ้อนี่เราติดยึดในเรื่องของรูปอาหารมากขนาดนี้เลยหรือนี่
พอวันที่ 2,3,4 ที่ได้เริ่มทานแบบอาหารปั่นอย่างเดียวโดยไม่ทานอาหารอย่างอื่นเพิ่มเลย ก็ปรากฏว่าสามารถอยู่ได้ตลอดวันโดยทานเพียงครั้งเดียวคือทานมื้อเดียว โดยกำลังไม่ตก อยู่ครบได้จนถึงชั่วโมงที่ 25 เราก็เริ่มทานอาหารมื้อเดียวของวันใหม่ต่อ โดยไม่รู้สึกหิวไม่รู้สึกทรมานใด ๆ เลย ก็มีร่างกายที่เริ่มส่งสัญญาณว่าต้องการพลังงานแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโหยหรือแรงตกแต่อย่างใด ยังคงรู้สึกกำลังเต็มอยู่
และความรู้สึกที่ติดในรูปอาหาร อาหารเมนูนั้นเมนูนี้ที่ลอยเข้ามากวนในหัวก็เบาลงตามลำดับ รู้สึกได้ถึงความนิ่งขึ้นไม่ดิ้นมากเหมือนวันแรก อย่างวันที่ 4 นี้ก็จะนึกถึงเมนูผัดถั่วงอกหรือถั่วงอกที่นำมาใส่ในก๋วยเตี๋ยว เพราะเพาะถั่วงอกเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มฝึกทานอาหารปั่นสุดท้ายก็เลยเอาปั่นรวมกันกับอาหารเสียเลย สรุปก็ได้สลายภพของเมนูผัดถั่วงอกไปเลย
เนื่องจากอาหารปั่นสูตรที่ทำคือ เอาทุกอย่างมาปั่นรวมกัน จึงทำให้ประหยัดเวลาในการทำ
ในการล้างภาชนะและไม่ต้องใช้น้ำยาล้างจานก็สะอาด
รวมถึงประหยัดเวลาในการกิน
ช่วยถนอมปากและฟันได้เป็นอย่างดี
หมดปัญหาเรื่องผักเศษผักเศษอาหารติดซอกฟัน
ปริมาณของวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารปั่นลดลงกว่าตอนที่ทานแบบปกติ 1/3 เท่า