เวลากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป : พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
เมื่อพาหนะที่เคยใช้อยู่ประจำหมดสภาพการใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยพาหนะประจำทางทำให้ได้เรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของบ้านเมืองและสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในเมือง Krefeld Germany ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่
สถานการณ์ COVID-19 ทำให้ผู้เขียนเริ่มมีความคุ้นชินปรับตัวกับสภาพของการดำรงชีวิตได้เป็นปกติแล้ว
มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับผู้เขียนเป็นเหตุการณ์ที่น่าจะนำมาบันทึกเรื่องนี้ไว้ คือการเดินทางส่วนใหญ่ผู้เขียนจะใช้รถยนต์ส่วนตัว แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารถยนต์หมดสภาพในการขับ จึงต้องรอรถคันใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาในการรอเพราะขั้นตอน กระบวนการแจ้งยกเลิกรถคันที่หมดสภาพ แจ้งขอใช้รถคันใหม่ค่อนข้างจะต้องใช้เวลา เอกสารทุกอย่างต้องผ่านทางออนไลน์ทั้งหมดและต้องรอคิวเพื่อขอเวลานัด
ดังนั้น เช้าวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ผู้เขียนต้องเดินทางด้วยรถราง และต่อรถบัส (ปกตินั่งรถรางสายเดียวก็ถึงที่ทำงาน แต่สถานการณ์ COVID-19 ต้องนั่งรถ 2 ต่อ) ขณะที่ยืนรอรถรางอยู่ที่สถานีดูเวลาเห็นว่าเหลืออีก 7 นาที รถรางจะมาถึง อากาศวันนั้นเย็นสบายจึงไม่ได้สวมเสื้อหลายชั้น แต่พอสักพักรู้สึกเย็นวูบไปทั้งตัว เห็นอาการสั่นขึ้นมาทันที นึกในใจว่าเอาอย่างไรดีทีนี้อีกไม่กี่นาทีรถรางจะมาถึงแล้ว จะอยู่รอต่อหรือจะกลับบ้าน เพราะถ้าเกิดอาการหนาวสั่นอย่างนี้ คงไม่ดีแน่นอนเลยตัดสินใจกลับบ้าน
พอช่วงบ่ายของวันเดียวกันก็ได้ออกไปทำงานอีกครั้ง แต่โชคดีได้เจอเพื่อนระหว่างนั่งรอรถราง เพื่อนใจดีเลยขับรถไปส่งถึงที่ทำงาน พอขากลับขณะยืนรอรถราง เหลือบไปเห็นว่าเหลือเวลาอีก 10 นาทีรถรางจะมาถึงแต่พออ่านดูตารางเวลา รถไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ เลยถามคุณยายท่านที่ยืนรอด้วยกันว่า “รถรางไม่ไปถึง fischeln หรือคะ ? ท่านบอกว่าปกติไปถึงอยู่นะ อ๋อ ค่ะแต่แปลกนะคะที่หน้าจอตารางเวลาบอกอีกแบบหนึ่ง คุณยายใจดีเลยบอกว่า”ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ขึ้นรถแล้วตอนซื้อตั๋วก็ถามคนขับรถรางท่านจะให้คำแนะนำได้ค่ะ” ขอบพระคุณมากค่ะ ผู้เขียนกล่าว
พอรถรางมาถึง ผู้เขียนก็ซื้อตั๋วและถามคนขับว่า “รถรางวิ่งไม่ถึง fischeln ใช่ไหมคะ ? ท่านบอกว่ารถรางวิ่งไม่ถึงแต่คุณสามารถไปเปลี่ยนขึ้นต่อรถบัสที่หน้าสถานีขนส่งได้ครับ แล้วตั๋วคุณก็ไม่ต้องซื้อใหม่ใช้ตั๋วเดิมนี้ได้เลย” เป็นอันว่าได้รับคำตอบที่ชัดเจนดี
พอมาถึงสถานีขนส่งดังกล่าวผู้เขียนต้องลงและเปลี่ยนไปนั่งรถบัสเพื่อที่จะต่อไปถึงที่จุดหมาย อาการตื่นเต้นไม่มีสติไปชั่วขณะคืองงกับเบอร์รถบัสว่าเบอร์ไหนกันแน่ที่เราควรจะขึ้นเพื่อจะได้ไม่ขึ้นผิดคัน บังเอิญก็เจอน้องผู้ชายใจดีถามท่าน ท่านก็ให้คำตอบได้ชัดเจนถึงแม้จะส่งสัญญาณด้วยภาษามือก็ตาม เป็นอันว่าผู้เขียนมีเวลารออีก 5 นาทีเพื่อรอรถบัส พอรถบัสมาถึงก็ได้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
การได้ผจญภัยนั่งรถประจำทางไปทำงานหลังจากที่ไม่ได้นั่งมานานกว่า 10 ปี และในสถานการณ์ที่ต้องระวังโรคระบาดในเช่นนี้ ทำให้ได้เห็นสภาพบรรยากาศตอนกลางวันในตัวเมืองที่ตัวผู้เขียนเคยอาศัยอยู่ มีผู้คนออกมาเดินจับจ่ายซื้อหาน้อยเหลือเกิน และสถานที่ที่เคยเจอ เคยอยู่ก็เปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมากับวันนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน นึกในใจว่า”เราไปอยู่นอกเมืองไม่วุ่นวายแบบที่เป็นอยู่นี่ละดีแล้ว พรเอ้ย” สาธุ